กายวิภาคศาสตร์ของอวัยวะในช่องปาก
ช่องปาก (Oral Cavity) คือ ส่วนที่อยู่ถัดไปจากริมฝีปากเข้าไปจนถึงลิ้นไก่ ภายในมีอวัยวะสำคัญหลายอย่าง ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดให้ทราบเฉพาะฟัน และอวัยวะปริทันต์
1. ฟัน (Teeth)
เป็นอวัยวะที่สำคัญ ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร ช่วยในการออกเสียงพูดให้ถูกต้องชัดเจน และช่วยให้ใบหน้ามีความสวยงาม โดยธรรมชาติมนุษย์มีฟัน 2 ชุด ฟันชุดแรก คือ ฟันน้ำนม (Primary Teeth หรือ Decicuous Teeth) ขึ้นมาในวัยเด็ก มีลักษณะเป็นฟันซี่เล็กๆ สีค่อนข้างขาว มีทั้งหมด 20 ซี่ ฟันชุดที่สอง เรียกว่า ฟันถาวร หรือฟันแท้ (Secondary Teeth หรือ Permanent Teeth) มีขนาดใหญ่กว่าฟันน้ำนม สีค่อนข้างเหลือง มีทั้งหมด 32 ซี่
- โครงสร้างของฟัน พิจารณาได้เป็น 2 ลักษณะคือ โครงสร้างภายนอก
และโครงสร้างภายใน โครงสร้างภายนอกแบ่งออก 2 ส่วน คือ ตัวฟัน (Crown) และรากฟัน
(Root) โดยมีแนวคอฟันเป็นเกณฑ์ในการแบ่งแยก โครงสร้างภายในของฟัน ประกอบด้วย 4 ส่วน
คือ เคลือบฟัน เนื้อฟัน เคลือบรากฟัน และเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน (ภาพที่ 1)
ภาพที่ 1 โครงสร้างภายนอก และภายในของฟัน
- เคลือบฟัน (Enamel) เป็นส่วนที่แข็งที่สุดของฟัน คลุมอยู่รอบนอกสุดของตัวฟันโดยตลอด มีความหนามากที่สุด ในบริเวณปุ่ม หรือปลายขอบฟัน ค่อยๆ บางลงในบริเวณใกล้คอฟัน ทำหน้าที่เหมือนเกราะหุ้มฟัน เพื่อฃ่วยปกป้องอันตรายให้แก่ ชั้นของเนื้อฟัน และเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟัน เคลือบฟันโดยทั่วไปมีสีขาวใส เป็นมันวาว
- เนื้อฟัน (Dentine) คือ ส่วนที่อยู่ถัดจากชั้นเคลือบฟันเข้าไป มีสีเหลือง มีความแข็งมากกว่ากระดูก แต่อ่อนกว่าเคลือบฟัน
- เคลือบรากฟัน (Cementum) เป็นส่วนที่คลุมภายนอกของรากฟันโดยตลาด มีสีเหลืองอ่อน และทึบแสง
- เนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน (Dental Pulp) เป็นเนื้อเยื่ออ่อน (Soft tissue) ประกอบด้วยหลอดเลือด และเส้นประสาท ซึ่งผ่านเข้าโพรงประสาทฟัน ทางรูปเปิดที่ปลายรากฟัน อวัยวะเหล่านี้อยู่ภายในช่องว่าง ใจกลางฟัน ที่เรียกว่า โพรงประสาทฟัน (Pulp cavity) ทำหน้าที่นำอาหารหล่อเลี้ยงฟัน และรับคววามรู้สึกจากฟันไปสู่สมอง โพรงประสาทฟันแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โพรงประสาทฟันในตัวฟัน (Pulp Chamber) มีรูปร่างไปตามตัวฟัน และปุมฟัน และโพรงประสาทในคลองรากฟัน (Pulp canal)
- การจำแนกกลุ่มฟัน มีการจำแนกเป็นกลุ่มตามตำแหน่งที่อยู่
ลักษณะ และประเภทของฟันดังนี้
- จำแนกตามลักษณะส่วนโค้งแนวฟัน เนื่องจากฟันมีการเรียงตัวตามแนวโค้งของ
กระดูกขากรรไกรล่างและบน เราเรียกแนวโค้งนี้ว่า ส่วนโค้งแนวฟัน (Dental Arch)
เมื่อพิจารณาแบ่งฟันตามเส้นแนวนอน ทำให้ฟันถูกแบ่งเป็น ฟันบน และฟันล่าง
และจากเส้นแบ่งในแนวดิ่ง ผ่านกึ่งกลางของขากรรไกรบน ล่าง
จะทำให้ฟันถูกแบ่งออกเป็นด้านซ้าย และขวา ดังนั้น โดยวิธีการนี้ ฟันจะถูกแบ่งเป็น 4
ส่วน (Quadrants) คือ ฟันบนด้านซ้าย ฟันบนด้านขวา ฟันล่างด้านซ้าย
และฟันล่างด้านขวา
ภาพที่ 2 การแบ่งกลุ่มฟันตามส่วนโค้งแนวฟัน และประเภทของฟัน
- จำแนกตามรูปร่างลักษณะ และหน้าที่ของฟัน โดยแบ่งฟันเป็น 4 ประเภท คือ ฟันตัด
ฟันเขี้ยว ฟันกรามน้อย (ในฟันน้ำนม ไม่มีฟันกรามน้อย) และฟันกราม ดังแสดงไว้ในตาราง
1.1 (ภาพที่ 2)
ตาราง 1.1 แสดงประเภท รูปร่างลักษณะ และหน้าที่ของฟัน
ประเภทฟัน รูปร่าง ลักษณะ หน้าที่ 1. ฟันตัด (Incisor) แบ่งเป็น
- - ฟันตัดซี่กลาง (Central Incisor)
- - ฟันตัดซี่ข้าง (lateral Incisor)
เหมือบจอบ หรือสิ่ว ตัดและฉีกอาหาร 2. ฟันเขี้ยว (Canine) มีปุ่มแหลมปุ่มเดียว ฉีกอาหาร 3. ฟันกรามน้อย (Premolar) มีปุ่มเตี้ยกว่าฟันเขี้ยว 2-3 ปุ่ม บดเคี้ยวอาหาร 4. ฟันกราม (Molar) มีปุ่มเตี้ยๆ 3-6 ปุ่ม บดเคี้ยวอาหาร - - ฟันตัดซี่กลาง (Central Incisor)
- จำแนกตามลักษณะส่วนโค้งแนวฟัน เนื่องจากฟันมีการเรียงตัวตามแนวโค้งของ
กระดูกขากรรไกรล่างและบน เราเรียกแนวโค้งนี้ว่า ส่วนโค้งแนวฟัน (Dental Arch)
เมื่อพิจารณาแบ่งฟันตามเส้นแนวนอน ทำให้ฟันถูกแบ่งเป็น ฟันบน และฟันล่าง
และจากเส้นแบ่งในแนวดิ่ง ผ่านกึ่งกลางของขากรรไกรบน ล่าง
จะทำให้ฟันถูกแบ่งออกเป็นด้านซ้าย และขวา ดังนั้น โดยวิธีการนี้ ฟันจะถูกแบ่งเป็น 4
ส่วน (Quadrants) คือ ฟันบนด้านซ้าย ฟันบนด้านขวา ฟันล่างด้านซ้าย
และฟันล่างด้านขวา
- การเรียกชื่อฟัน การเรียกชื่อฟันที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ
- การเรียกชื่อเต็มของฟัน (Fully naming teeth)
ควรพิจารณาตามลำดับดังนี้ ประเภทของฟัน ชุดของฟัน เป็นฟันบน หรือฟันล่าง
เป็นฟันด้านซ้าย หรือด้านขวา ในกรณีของฟันตัด ต้องพิจารณาว่าเป็น
ฟันกรามซี่ที่หนึ่ง หรือซี่ที่สอง หรือซี่ที่สาม ดังแสดงตัวอย่างในภาพ 3
ภาพที่ 3 การเรียกชื่อเต็มของฟันลำดับที่ของฟัน ฟันแท้บนด้านซ้าย ฟันน้ำนมบนด้านขวา 1 ฟันตัดแท้บนด้านซ้ายซี่กลาง ฟันตัดน้ำนมบนขวาซี่กลาง 2 ฟันตัดแท้บนด้านซ้ายซี่ข้าง ฟันตัดน้ำนมบนขวาซี่ข้าง 3 ฟันเขี้ยวแท้บนซ้าย ฟันเขี้ยวน้ำนมบนขวา 4 ฟันกรามน้อยบนซ้ายซี่ที่หนึ่ง ฟันกรามน้ำนมบนขวาซี่ที่ 1 5 ฟันกรามน้อยแท้บนซ้ายซี่ที่สอง ฟันกรามน้ำนมบนขวาซี่ที่ 2 6 ฟันกรามแท้บนซ้ายซี่ที่หนึ่ง 7 ฟันกรามแท้บนซ้ายซี่ที่สอง 8 ฟันกรามแท้บนซ้ายซี่ที่สาม - การเรียกชื่อฟันแต่ละซี่ จะเริ่มจากซี่ที่ชิดแนวแบ่งกึ่งกลางใบหน้า ออกไปทางด้านข้าง
- ฟันกรามน้อยแท้ซี่ที่หนึ่ง และสอง จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับฟันกรามน้ำนมซี่ที่ 1 และ 2
- การเรียกชื่อเต็มของฟัน (Fully naming teeth)
ควรพิจารณาตามลำดับดังนี้ ประเภทของฟัน ชุดของฟัน เป็นฟันบน หรือฟันล่าง
เป็นฟันด้านซ้าย หรือด้านขวา ในกรณีของฟันตัด ต้องพิจารณาว่าเป็น
ฟันกรามซี่ที่หนึ่ง หรือซี่ที่สอง หรือซี่ที่สาม ดังแสดงตัวอย่างในภาพ 3
- การเรียกชื่อเต็มของฟันด้วยรหัส (Numbering System)
มีอยู่หลายระบบ ส่วนที่นิยมใช้กันเป็นสากล คือ ระบบที่สหพันธ์ทันตแพทย์นานาชาติ
(Federation Dentaire or FDI) ได้เสนอแนะให้ใช้ เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก
เรียกว่า ระบบตัวเลขสองหลัก (Two-digit System) การใช้ระบบนี้
สะดวกต่อการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ตัวเลขหลักแรก เริ่มตั้งแต่ 1-8
แสดงถึงตำแหน่งของฟัน ว่าอยู่ตำแหน่งใด ถ้าแบ่งปากออกเป็นสี่ส่วน (Quadrants)
ตัวเลข 1-4 ใช้กับฟันแท้ ตัวเลข 5-8 ใช้กับฟันน้ำนม ดังนี้
รหัสตัวแรกของฟันแท้
- ฟันแท้บนขวา
- ฟันแท้บนซ้าย
- ฟันแท้ล่างขวา
- ฟันแท้ล่างซ้าย
รหัสตัวแรกของฟันน้ำนม - ฟันน้ำนมบนขวา
- ฟันน้ำนมบนซ้าย
- ฟันน้ำนมล่างซ้าย
- ฟันน้ำนมล่างขวา
- ด้านของฟัน ฟันมีการระบุด้าน ตามตำแหน่งที่ฟันอยู่ดังนี้
(ภาพที่ 5)
ภาพที่ 5 แสดงด้านต่างๆ ของฟัน
ด้านใบหน้า (Facial surface) แบ่งเป็นด้านของฟันหน้า ที่อยู่ชิดริมฝีปาก (Labial surface) เรียกกด้านริมฝีปาก (Labial surface) และด้านของฟันหลังที่อยู่ชิดแก้ม เรียกด้านติดแก้ม (Buccal surface)
ด้านลิ้น (Lingual surface) เป็นด้านของฟันล้างที่อยู่ชิดลิ้น และด้านของฟันบนที่ชิดเพดานปาก (Palatal surface)
- การขึ้นและการหลุดของฟัน ฟันชุดแรกคือ ฟันน้ำนม เริ่มมีการสร้างตัวในขากรรไกร ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ จะมีการสร้างหน่อฟันในระดูกขากรรไกร แล้วมีแร่ธาตุแคลเซียม และฟอสฟอรัสเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ในกระบวนการสร้างฟัน มีการสร้างส่วนของตัวฟันก่อน แล้วจึงมีการสร้างส่วนของรากฟัน ในขณะที่สร้างรากฟัน เป็นระยะเวลาที่ฟันโผล่ขึ้นในช่องปาก เรียกว่า การขึ้นของฟัน (Eruption of teeth) ฟันน้ำนมซี่แรกจะขึ้นมาในช่องปาก เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 6 เดือน คือ ฟันตัดน้ำนมล่างซี่กลาง ทั้งด้านซ้าย และด้านขวา อยู่กึ่งกลางขากรรไกรล่าง ต่อมาอีกประมาณ 2-3 เดือน ฟันตัดน้ำนมบนซี่กลางก็จะขึ้น ฟันน้ำนมซี่อื่นๆ จะทยอยขึ้นมาจนครบ 20 ซี่ เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบครึ่ง ส่วนฟันชุดที่สอง คือ ฟันแท้ ซี่แรกจะขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 6 ปี เป็นฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่ง ซึ่งฟันล่างจะขึ้นก่อนฟันบน โดยขึ้นมาเรียงตัวต่อจาก ฟันกรามน้ำนมซี่ที่สอง จึงเป็นฟันแท้ที่ไม่ได้ขึ้นแทนฟันน้ำนม การหลุดของฟันน้ำนม เริ่มตั้งแต่เด็กอายุได้ 6 ขวบขึ้นไป เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาที่ฟันแท้ใกล้ขึ้น ฟันแท้จะมีการสร้างรากฟัน และเกิดแรงดันจากบริเวณรากฟัน มีผลให้รากฟันน้ำนมมีการละลายตัว ฟันน้ำนมก็จะโยกหลุดไปได้เอง จากนั้นฟันแท้จึงค่อยๆ ขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนม ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนมซี่แรก คือ ฟันตัดล่างซี่กลาง ซ้าย และขวา และมีฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่งขึ้นถัดจาก ฟันกรามน้อนมซี่ที่สอง เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 6 ปี ดังนั้น ในช่วงอายุ 6-12 ปี เด็กจึงมีทั้งฟันน้ำนม และฟันแท้ เรียกระยะนี้ว่า ฟันผสม การหลุดของฟันน้ำนมแต่ละซี่ จะมีความสัมพันธ์ไปกับ ระยะการขึ้นของฟันแท้ ดังนั้น ฟันน้ำนมของเด็ก จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาช่องว่างไว้ ให้ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ หากเด็กมีฟันน้ำนมผุ และถูกถอนไปเร็วกว่าอายุ ที่ควรจะหลุด จะทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาล้มเอียง นับเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดฟันเก ฟันน้ำนมจะถูกแทนที่ด้วยฟันแท้ทั้งหมด เมื่อเด็กอายุประมาณ 12 ปี (ภาพที่ 6, 7)
![]() |
![]() |
ภาพที่ 4 การเรียกชื่อฟันตามระบบตัวเลขสองหลัก |
11 | หมายถึง | ฟันตัดแท้บนขวาซี่กลาง |
22 | หมายถึง | ฟันตัดแท้บนซ้ายซี่ข้าง |
33 | หมายถึง | ฟันเขี้ยวแท้ล่างซ้าย |
44 | หมายถึง | ฟันกรามน้อยแท้ล่างขวาซี่ที่หนึ่ง |
51 | หมายถึง | ฟันตัดน้ำนมบนขวาซี่กลาง |
62 | หมายถึง | ฟันตัดน้ำนมบนซ้ายซี่ข้าง |
73 | หมายถึง | ฟันเขี้ยวน้ำนมล่างซ้าย |
84 | หมายถึง | ฟันกรามน้ำนมล่างขวาซี่ที่หนึ่ง |
![]() |
![]() | ||
![]() |
![]() | ||
![]() ![]() |
![]() | ||
![]() ![]() |
![]() | ||
![]() |
![]() | ||
ภาพที่ 6 แสดงการขึ้นของฟัน ตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือน ถึง 6 ปี |
![]() |
![]() | ||
![]() |
![]() | ||
![]() |
![]() ![]() | ||
![]() |
![]() | ||
ภาพที่ 7 การขึ้นของฟัน ตั้งแต่อายุครรภ์ 7 ปี ถึง 35 ปี |
2. อวัยวะปริทันต์ (Periodontium)
อวัยวะปริทันต์ คือ กลุ่มของเนื้อเยื่อที่อยู่ล้อมรอบฟัน ทำหน้าที่ยึดและหยุงฟันให้ ทำให้ฟันสามารถอยู่ในกระดูกขากรรไกรได้ อวัยวะปริทันต์ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 4 ชนิด คือ เหงือก เอ็นยึดปริทันต์ เคลือบรากฟัน และกระดูกเบ้าฟัน (ภาพที่ 8)

ภาพที่ 8 ลักษณะกายวิภาคศาสตร์ของอวัยวะปริทันต์
และส่วนต่างๆ ของเหงือก
- เหงือก (Gingiva) คือ ส่วนหนึ่งของเยื่อบุช่องปาก ที่ปกคลุมกระดูกส่วนยื่นของเบ้าฟัน (Alveolar process) มีขอบเขตตั้งแต่ขอบเหงือก (Gingival margin) ถึงรอยต่อเยื่อเมือกบุช่องปาก ทำหน้าที่ต้านทานแรงเสียดสีจาอาหาร ระหว่างการบดเคี้ยว การกลืน ในสภาวะปกติจะมีลักษณะแน่น (firm) มีสีชมพูอ่อน สีของเหงือกอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นกับสีผิวของแต่ละบุคคล จำนวนเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเยื่อบุผิว ระหว่างเหงือก และฟัน มีร่องตื้นๆ ประมาณ 1-2 มิลงิเมตร อยู่ล้อมรอบตัวฟัน เรียกว่า ร่องเหงือก (Gingival sulcus) ความลึกของร่องเหงือก จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพของเหงือก ในฟันที่ขึ้นใหม่ๆ เหงือกจะคลุมส่วนกระดูกยื่น ของกระดูกเบ้าฟัน ในระดับเลยคอฟันขึ้นมาบนตัวฟัน และมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ในบริเวณด้านประชิด ของฟันสองซี่ เมื่อมีอายุมากขึ้น กระดูกมีการละลายตัว ทำให้ส่วนยื่นของเบ้าฟันต่ำลง เหงือกก็จะร่นต่ำลงด้วย จึงดูคล้ายว่า มีตัวฟันที่ยาวขึ้น
- เอ็นยึดปริทันต์ (Periodontal Ligament) คือ เนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ ฟัน เป็นเนื้อเยื่อยึดต่อชนิดไฟบรัสที่หนาแน่น (Dense Fibrous Connective Tissue) ปลายข้างหนึ่งของเอ็นยึดปริทันต์ ฝังตัวอยู่ในเคลือบรากฟัน และปลายอีกข้างหนึ่ง ฝังอยู่ในกระดูกเบ้าฟัน ทำหน้าที่ช่วยยึดกระดูกเคลือบรากฟัน ไว้กับกระดูกเบ้าฟัน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่อื่นๆ ีก คือ ต้านืทานแรงที่เกิดจากการบดเคี้ยว แล้วถ่ายทอดแรงบดเคี้ยว สู่กระดูเบ้าฟัน ป้องกันอันตรายแก่หลอดเลือด เส้นประสาท และหลอดน้ำเหลืองภายใน และช่วยพยุงเหงือกให้มีความสัมพันธ์ ที่ถูกต้องกับฟัน
- เคลือบรากฟัน (Cementum) คือ ส่วนของฟันที่อยู่ต่อจากเคลือบฟัน ปกคลุมรากฟันทั้งหมด สีเหลืองอ่อน และไม่มีความมันวาว จึงทำให้เคลือบรากฟัน มีความแตกต่างจากเคลือบฟันอย่างชัดเจน เคลือบรากฟันทำหน้าที่ป้องกันอันตราย ให้เนื้อฟันที่อยู่ข้างใต้ และเป็นที่ฝังตัวของปลายข้างหนึ่ง ของเอ็นยึดปริทันต์ เพื่อยึดให้อยู่กับกระดูกเบ้าฟัน
- กระดูกเบ้าฟัน (Alveolar Bone) คือ ส่วนของกระดูกขากรรไกรบน และล่าง ที่อยู่ล้อมรอบรากฟัน โครงสร้างของกระดูกเบ้าฟัน ขึ้นกับขนาด รูปร่าง ตำแหน่งของฟัน และสภาพของแรงที่มีต่อกระดูกเบ้าฟัน ทำหน้าที่รองรับฟัน รวมทั้งเป็นที่ฝังตัวของเส้นใยยึดเอ็นปริทันต์ เพื่อยึดให้อยู่กับกระดูกเบ้าฟัน ช่วยรองรับแรงดึง แรงกด ที่มากระทำต่อฟัน ช่วยป้องกันเส้นเลือด เส้นน้ำเหลือง และเส้นประสาทที่อยู่ในบริเวณนี้