วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อวัยวะน่ารู้

กายวิภาคศาสตร์ของอวัยวะในช่องปาก


ช่องปาก (Oral Cavity) คือ ส่วนที่อยู่ถัดไปจากริมฝีปากเข้าไปจนถึงลิ้นไก่ ภายในมีอวัยวะสำคัญหลายอย่าง ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดให้ทราบเฉพาะฟัน และอวัยวะปริทันต์

1. ฟัน (Teeth)


เป็นอวัยวะที่สำคัญ ทำหน้าที่บดเคี้ยวอาหาร ช่วยในการออกเสียงพูดให้ถูกต้องชัดเจน และช่วยให้ใบหน้ามีความสวยงาม โดยธรรมชาติมนุษย์มีฟัน 2 ชุด ฟันชุดแรก คือ ฟันน้ำนม (Primary Teeth หรือ Decicuous Teeth) ขึ้นมาในวัยเด็ก มีลักษณะเป็นฟันซี่เล็กๆ สีค่อนข้างขาว มีทั้งหมด 20 ซี่ ฟันชุดที่สอง เรียกว่า ฟันถาวร หรือฟันแท้ (Secondary Teeth หรือ Permanent Teeth) มีขนาดใหญ่กว่าฟันน้ำนม สีค่อนข้างเหลือง มีทั้งหมด 32 ซี่

  • โครงสร้างของฟัน พิจารณาได้เป็น 2 ลักษณะคือ โครงสร้างภายนอก และโครงสร้างภายใน โครงสร้างภายนอกแบ่งออก 2 ส่วน คือ ตัวฟัน (Crown) และรากฟัน (Root) โดยมีแนวคอฟันเป็นเกณฑ์ในการแบ่งแยก โครงสร้างภายในของฟัน ประกอบด้วย 4 ส่วน คือ เคลือบฟัน เนื้อฟัน เคลือบรากฟัน และเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน (ภาพที่ 1)
    ภาพที่ 1 โครงสร้างภายนอก และภายในของฟัน

    1. เคลือบฟัน (Enamel) เป็นส่วนที่แข็งที่สุดของฟัน คลุมอยู่รอบนอกสุดของตัวฟันโดยตลอด มีความหนามากที่สุด ในบริเวณปุ่ม หรือปลายขอบฟัน ค่อยๆ บางลงในบริเวณใกล้คอฟัน ทำหน้าที่เหมือนเกราะหุ้มฟัน เพื่อฃ่วยปกป้องอันตรายให้แก่ ชั้นของเนื้อฟัน และเนื้อเยื่อโพรงประสาทฟัน เคลือบฟันโดยทั่วไปมีสีขาวใส เป็นมันวาว
    2. เนื้อฟัน (Dentine) คือ ส่วนที่อยู่ถัดจากชั้นเคลือบฟันเข้าไป มีสีเหลือง มีความแข็งมากกว่ากระดูก แต่อ่อนกว่าเคลือบฟัน
    3. เคลือบรากฟัน (Cementum) เป็นส่วนที่คลุมภายนอกของรากฟันโดยตลาด มีสีเหลืองอ่อน และทึบแสง
    4. เนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน (Dental Pulp) เป็นเนื้อเยื่ออ่อน (Soft tissue) ประกอบด้วยหลอดเลือด และเส้นประสาท ซึ่งผ่านเข้าโพรงประสาทฟัน ทางรูปเปิดที่ปลายรากฟัน อวัยวะเหล่านี้อยู่ภายในช่องว่าง ใจกลางฟัน ที่เรียกว่า โพรงประสาทฟัน (Pulp cavity) ทำหน้าที่นำอาหารหล่อเลี้ยงฟัน และรับคววามรู้สึกจากฟันไปสู่สมอง โพรงประสาทฟันแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ โพรงประสาทฟันในตัวฟัน (Pulp Chamber) มีรูปร่างไปตามตัวฟัน และปุมฟัน และโพรงประสาทในคลองรากฟัน (Pulp canal)
  • การจำแนกกลุ่มฟัน มีการจำแนกเป็นกลุ่มตามตำแหน่งที่อยู่ ลักษณะ และประเภทของฟันดังนี้
    1. จำแนกตามลักษณะส่วนโค้งแนวฟัน เนื่องจากฟันมีการเรียงตัวตามแนวโค้งของ กระดูกขากรรไกรล่างและบน เราเรียกแนวโค้งนี้ว่า ส่วนโค้งแนวฟัน (Dental Arch) เมื่อพิจารณาแบ่งฟันตามเส้นแนวนอน ทำให้ฟันถูกแบ่งเป็น ฟันบน และฟันล่าง และจากเส้นแบ่งในแนวดิ่ง ผ่านกึ่งกลางของขากรรไกรบน ล่าง จะทำให้ฟันถูกแบ่งออกเป็นด้านซ้าย และขวา ดังนั้น โดยวิธีการนี้ ฟันจะถูกแบ่งเป็น 4 ส่วน (Quadrants) คือ ฟันบนด้านซ้าย ฟันบนด้านขวา ฟันล่างด้านซ้าย และฟันล่างด้านขวา
      ภาพที่ 2 การแบ่งกลุ่มฟันตามส่วนโค้งแนวฟัน และประเภทของฟัน
    2. จำแนกตามรูปร่างลักษณะ และหน้าที่ของฟัน โดยแบ่งฟันเป็น 4 ประเภท คือ ฟันตัด ฟันเขี้ยว ฟันกรามน้อย (ในฟันน้ำนม ไม่มีฟันกรามน้อย) และฟันกราม ดังแสดงไว้ในตาราง 1.1 (ภาพที่ 2) ตาราง 1.1 แสดงประเภท รูปร่างลักษณะ และหน้าที่ของฟัน
      ประเภทฟัน รูปร่าง ลักษณะ หน้าที่
      1. ฟันตัด (Incisor) แบ่งเป็น
      - ฟันตัดซี่กลาง (Central Incisor)
      - ฟันตัดซี่ข้าง (lateral Incisor)
      เหมือบจอบ หรือสิ่ว ตัดและฉีกอาหาร
      2. ฟันเขี้ยว (Canine) มีปุ่มแหลมปุ่มเดียว ฉีกอาหาร
      3. ฟันกรามน้อย (Premolar) มีปุ่มเตี้ยกว่าฟันเขี้ยว 2-3 ปุ่ม บดเคี้ยวอาหาร
      4. ฟันกราม (Molar) มีปุ่มเตี้ยๆ 3-6 ปุ่ม บดเคี้ยวอาหาร
  • การเรียกชื่อฟัน การเรียกชื่อฟันที่นิยมใช้กันทั่วไป คือ
    1. การเรียกชื่อเต็มของฟัน (Fully naming teeth) ควรพิจารณาตามลำดับดังนี้ ประเภทของฟัน ชุดของฟัน เป็นฟันบน หรือฟันล่าง เป็นฟันด้านซ้าย หรือด้านขวา ในกรณีของฟันตัด ต้องพิจารณาว่าเป็น ฟันกรามซี่ที่หนึ่ง หรือซี่ที่สอง หรือซี่ที่สาม ดังแสดงตัวอย่างในภาพ 3

      ภาพที่ 3 การเรียกชื่อเต็มของฟัน
      ลำดับที่ของฟัน ฟันแท้บนด้านซ้าย ฟันน้ำนมบนด้านขวา
      1 ฟันตัดแท้บนด้านซ้ายซี่กลาง ฟันตัดน้ำนมบนขวาซี่กลาง
      2 ฟันตัดแท้บนด้านซ้ายซี่ข้าง ฟันตัดน้ำนมบนขวาซี่ข้าง
      3 ฟันเขี้ยวแท้บนซ้าย ฟันเขี้ยวน้ำนมบนขวา
      4 ฟันกรามน้อยบนซ้ายซี่ที่หนึ่ง ฟันกรามน้ำนมบนขวาซี่ที่ 1
      5 ฟันกรามน้อยแท้บนซ้ายซี่ที่สอง ฟันกรามน้ำนมบนขวาซี่ที่ 2
      6 ฟันกรามแท้บนซ้ายซี่ที่หนึ่ง
      7 ฟันกรามแท้บนซ้ายซี่ที่สอง
      8 ฟันกรามแท้บนซ้ายซี่ที่สาม
      หมายเหตุ
      1. การเรียกชื่อฟันแต่ละซี่ จะเริ่มจากซี่ที่ชิดแนวแบ่งกึ่งกลางใบหน้า ออกไปทางด้านข้าง
      2. ฟันกรามน้อยแท้ซี่ที่หนึ่ง และสอง จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกับฟันกรามน้ำนมซี่ที่ 1 และ 2

    2. การเรียกชื่อเต็มของฟันด้วยรหัส (Numbering System) มีอยู่หลายระบบ ส่วนที่นิยมใช้กันเป็นสากล คือ ระบบที่สหพันธ์ทันตแพทย์นานาชาติ (Federation Dentaire or FDI) ได้เสนอแนะให้ใช้ เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เรียกว่า ระบบตัวเลขสองหลัก (Two-digit System) การใช้ระบบนี้ สะดวกต่อการเก็บข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ตัวเลขหลักแรก เริ่มตั้งแต่ 1-8 แสดงถึงตำแหน่งของฟัน ว่าอยู่ตำแหน่งใด ถ้าแบ่งปากออกเป็นสี่ส่วน (Quadrants) ตัวเลข 1-4 ใช้กับฟันแท้ ตัวเลข 5-8 ใช้กับฟันน้ำนม ดังนี้ รหัสตัวแรกของฟันแท้
      1. ฟันแท้บนขวา
      2. ฟันแท้บนซ้าย
      3. ฟันแท้ล่างขวา
      4. ฟันแท้ล่างซ้าย
      รหัสตัวแรกของฟันน้ำนม
      1. ฟันน้ำนมบนขวา
      2. ฟันน้ำนมบนซ้าย
      3. ฟันน้ำนมล่างซ้าย
      4. ฟันน้ำนมล่างขวา
      ตัวเลขหลักที่สอง เริ่มตั้งแต่ 1-8 เช่นเดียวกับตัวเลขหลักแรก แต่ตัวเลขหลักที่สองนี้แสดงซี่ฟันเรียงลำดับ นับจากเส้นแบ่งครึ่งใบหน้า ในแนวดิ่งไปทั้งด้านซ้ายและขวา ตัวอย่างของการเรียกชื่อฟัน ด้วยระบบตัวเลขสองหลัก ได้แก่ (ภาพที่ 4)
      ภาพที่ 4 การเรียกชื่อฟันตามระบบตัวเลขสองหลัก

      11 หมายถึง ฟันตัดแท้บนขวาซี่กลาง
      22 หมายถึง ฟันตัดแท้บนซ้ายซี่ข้าง
      33 หมายถึง ฟันเขี้ยวแท้ล่างซ้าย
      44 หมายถึง ฟันกรามน้อยแท้ล่างขวาซี่ที่หนึ่ง
      51 หมายถึง ฟันตัดน้ำนมบนขวาซี่กลาง
      62 หมายถึง ฟันตัดน้ำนมบนซ้ายซี่ข้าง
      73 หมายถึง ฟันเขี้ยวน้ำนมล่างซ้าย
      84 หมายถึง ฟันกรามน้ำนมล่างขวาซี่ที่หนึ่ง
  • ด้านของฟัน ฟันมีการระบุด้าน ตามตำแหน่งที่ฟันอยู่ดังนี้ (ภาพที่ 5)

    ภาพที่ 5 แสดงด้านต่างๆ ของฟัน
    ด้านประชิด (Proximal Surface) เป็นด้านของฟันที่อยู่ชิด กับฟันข้างเคียง ในส่วนโค้งของขากรรไกรเดียวกัน ด้านประชิดที่อยู่ใกล้เส้นแบ่งครึ่งใบหน้าในแนวดิ่ง เรียกว่า ด้านประชิดใกล้ (Mesial surface) ส่วนด้านประชิดอีกด้านที่เหลือ เรัยกว่า ด้านประชิดไกล (Distal surface)
    ด้านใบหน้า (Facial surface) แบ่งเป็นด้านของฟันหน้า ที่อยู่ชิดริมฝีปาก (Labial surface) เรียกกด้านริมฝีปาก (Labial surface) และด้านของฟันหลังที่อยู่ชิดแก้ม เรียกด้านติดแก้ม (Buccal surface)
    ด้านลิ้น (Lingual surface) เป็นด้านของฟันล้างที่อยู่ชิดลิ้น และด้านของฟันบนที่ชิดเพดานปาก (Palatal surface)
  • การขึ้นและการหลุดของฟัน ฟันชุดแรกคือ ฟันน้ำนม เริ่มมีการสร้างตัวในขากรรไกร ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ เมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ จะมีการสร้างหน่อฟันในระดูกขากรรไกร แล้วมีแร่ธาตุแคลเซียม และฟอสฟอรัสเข้ามาเป็นส่วนประกอบ ในกระบวนการสร้างฟัน มีการสร้างส่วนของตัวฟันก่อน แล้วจึงมีการสร้างส่วนของรากฟัน ในขณะที่สร้างรากฟัน เป็นระยะเวลาที่ฟันโผล่ขึ้นในช่องปาก เรียกว่า การขึ้นของฟัน (Eruption of teeth) ฟันน้ำนมซี่แรกจะขึ้นมาในช่องปาก เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 6 เดือน คือ ฟันตัดน้ำนมล่างซี่กลาง ทั้งด้านซ้าย และด้านขวา อยู่กึ่งกลางขากรรไกรล่าง ต่อมาอีกประมาณ 2-3 เดือน ฟันตัดน้ำนมบนซี่กลางก็จะขึ้น ฟันน้ำนมซี่อื่นๆ จะทยอยขึ้นมาจนครบ 20 ซี่ เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 2 ขวบ ถึง 2 ขวบครึ่ง ส่วนฟันชุดที่สอง คือ ฟันแท้ ซี่แรกจะขึ้นเมื่อเด็กอายุประมาณ 6 ปี เป็นฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่ง ซึ่งฟันล่างจะขึ้นก่อนฟันบน โดยขึ้นมาเรียงตัวต่อจาก ฟันกรามน้ำนมซี่ที่สอง จึงเป็นฟันแท้ที่ไม่ได้ขึ้นแทนฟันน้ำนม การหลุดของฟันน้ำนม เริ่มตั้งแต่เด็กอายุได้ 6 ขวบขึ้นไป เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาที่ฟันแท้ใกล้ขึ้น ฟันแท้จะมีการสร้างรากฟัน และเกิดแรงดันจากบริเวณรากฟัน มีผลให้รากฟันน้ำนมมีการละลายตัว ฟันน้ำนมก็จะโยกหลุดไปได้เอง จากนั้นฟันแท้จึงค่อยๆ ขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนม ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ฟันน้ำนมซี่แรก คือ ฟันตัดล่างซี่กลาง ซ้าย และขวา และมีฟันกรามแท้ซี่ที่หนึ่งขึ้นถัดจาก ฟันกรามน้อนมซี่ที่สอง เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 6 ปี ดังนั้น ในช่วงอายุ 6-12 ปี เด็กจึงมีทั้งฟันน้ำนม และฟันแท้ เรียกระยะนี้ว่า ฟันผสม การหลุดของฟันน้ำนมแต่ละซี่ จะมีความสัมพันธ์ไปกับ ระยะการขึ้นของฟันแท้ ดังนั้น ฟันน้ำนมของเด็ก จึงมีส่วนสำคัญที่ช่วยรักษาช่องว่างไว้ ให้ฟันแท้ขึ้นมาแทนที่ หากเด็กมีฟันน้ำนมผุ และถูกถอนไปเร็วกว่าอายุ ที่ควรจะหลุด จะทำให้ฟันแท้ที่ขึ้นมาล้มเอียง นับเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดฟันเก ฟันน้ำนมจะถูกแทนที่ด้วยฟันแท้ทั้งหมด เมื่อเด็กอายุประมาณ 12 ปี (ภาพที่ 6, 7)



ภาพที่ 6 แสดงการขึ้นของฟัน ตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือน ถึง 6 ปี



ภาพที่ 7 การขึ้นของฟัน ตั้งแต่อายุครรภ์ 7 ปี ถึง 35 ปี


2. อวัยวะปริทันต์ (Periodontium)


อวัยวะปริทันต์ คือ กลุ่มของเนื้อเยื่อที่อยู่ล้อมรอบฟัน ทำหน้าที่ยึดและหยุงฟันให้ ทำให้ฟันสามารถอยู่ในกระดูกขากรรไกรได้ อวัยวะปริทันต์ประกอบด้วย เนื้อเยื่อ 4 ชนิด คือ เหงือก เอ็นยึดปริทันต์ เคลือบรากฟัน และกระดูกเบ้าฟัน (ภาพที่ 8)


ภาพที่ 8 ลักษณะกายวิภาคศาสตร์ของอวัยวะปริทันต์ และส่วนต่างๆ ของเหงือก

  1. เหงือก (Gingiva) คือ ส่วนหนึ่งของเยื่อบุช่องปาก ที่ปกคลุมกระดูกส่วนยื่นของเบ้าฟัน (Alveolar process) มีขอบเขตตั้งแต่ขอบเหงือก (Gingival margin) ถึงรอยต่อเยื่อเมือกบุช่องปาก ทำหน้าที่ต้านทานแรงเสียดสีจาอาหาร ระหว่างการบดเคี้ยว การกลืน ในสภาวะปกติจะมีลักษณะแน่น (firm) มีสีชมพูอ่อน สีของเหงือกอาจเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นกับสีผิวของแต่ละบุคคล จำนวนเส้นเลือดฝอยที่มาเลี้ยงเยื่อบุผิว ระหว่างเหงือก และฟัน มีร่องตื้นๆ ประมาณ 1-2 มิลงิเมตร อยู่ล้อมรอบตัวฟัน เรียกว่า ร่องเหงือก (Gingival sulcus) ความลึกของร่องเหงือก จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสุขภาพของเหงือก ในฟันที่ขึ้นใหม่ๆ เหงือกจะคลุมส่วนกระดูกยื่น ของกระดูกเบ้าฟัน ในระดับเลยคอฟันขึ้นมาบนตัวฟัน และมีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ในบริเวณด้านประชิด ของฟันสองซี่ เมื่อมีอายุมากขึ้น กระดูกมีการละลายตัว ทำให้ส่วนยื่นของเบ้าฟันต่ำลง เหงือกก็จะร่นต่ำลงด้วย จึงดูคล้ายว่า มีตัวฟันที่ยาวขึ้น
  2. เอ็นยึดปริทันต์ (Periodontal Ligament) คือ เนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ ฟัน เป็นเนื้อเยื่อยึดต่อชนิดไฟบรัสที่หนาแน่น (Dense Fibrous Connective Tissue) ปลายข้างหนึ่งของเอ็นยึดปริทันต์ ฝังตัวอยู่ในเคลือบรากฟัน และปลายอีกข้างหนึ่ง ฝังอยู่ในกระดูกเบ้าฟัน ทำหน้าที่ช่วยยึดกระดูกเคลือบรากฟัน ไว้กับกระดูกเบ้าฟัน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่อื่นๆ ีก คือ ต้านืทานแรงที่เกิดจากการบดเคี้ยว แล้วถ่ายทอดแรงบดเคี้ยว สู่กระดูเบ้าฟัน ป้องกันอันตรายแก่หลอดเลือด เส้นประสาท และหลอดน้ำเหลืองภายใน และช่วยพยุงเหงือกให้มีความสัมพันธ์ ที่ถูกต้องกับฟัน
  3. เคลือบรากฟัน (Cementum) คือ ส่วนของฟันที่อยู่ต่อจากเคลือบฟัน ปกคลุมรากฟันทั้งหมด สีเหลืองอ่อน และไม่มีความมันวาว จึงทำให้เคลือบรากฟัน มีความแตกต่างจากเคลือบฟันอย่างชัดเจน เคลือบรากฟันทำหน้าที่ป้องกันอันตราย ให้เนื้อฟันที่อยู่ข้างใต้ และเป็นที่ฝังตัวของปลายข้างหนึ่ง ของเอ็นยึดปริทันต์ เพื่อยึดให้อยู่กับกระดูกเบ้าฟัน
  4. กระดูกเบ้าฟัน (Alveolar Bone) คือ ส่วนของกระดูกขากรรไกรบน และล่าง ที่อยู่ล้อมรอบรากฟัน โครงสร้างของกระดูกเบ้าฟัน ขึ้นกับขนาด รูปร่าง ตำแหน่งของฟัน และสภาพของแรงที่มีต่อกระดูกเบ้าฟัน ทำหน้าที่รองรับฟัน รวมทั้งเป็นที่ฝังตัวของเส้นใยยึดเอ็นปริทันต์ เพื่อยึดให้อยู่กับกระดูกเบ้าฟัน ช่วยรองรับแรงดึง แรงกด ที่มากระทำต่อฟัน ช่วยป้องกันเส้นเลือด เส้นน้ำเหลือง และเส้นประสาทที่อยู่ในบริเวณนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น